การฝึกทักษะการฟัง
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ช่วยให้การติดต่อทางธุรกิจมีความสะดวกสบายมากขึ้น
ทำให้คนทำงานที่อยู่กันคนละประเทศมีความเข้าใจกันมากขึ้น
จึงเป็นที่เข้าใจตรงกันว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักของการทำงาน หากพูดไม่ได้
ก็อาจจะทำให้เกิดผลกระทบกับการทำงานได้ หรือแม้แต่การสมัครงานเอง
หากเราไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี โอกาสที่จะได้งานทำก็มีน้อยลง ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางที่ใช้ติดต่อสื่อสาร และยังเป็นภาษาที่ใช้ในการทำงาน
เมื่อเราต้องติดต่อกับคนต่างวัฒนธรรม ภาษาอังกฤษถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
และจะมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับการทำงานที่คนทั้งโลกต้องมาติดต่อสื่อสารกัน
ธุรกิจสามารถเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น
เมื่อทุกคนสามารถเข้าใจในสิ่งที่อีกคนหนึ่งพูดถึงภาษาอังกฤษมีการใช้กันทั่วโลกมากกว่าภาษาอื่นๆ
มีการเรียนการสอนกันทั่วโลกมากกว่าภาษาอื่นจึงคิดให้เป็นภาษาสากลที่ติดต่อสื่อสารได้ทั่วโลก การสอนทักษะการพูดและการฟังจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ที่จะต้องทำการพัฒนาฝึกฝน ดังนั้นในสัปดาห์นี้ดิฉันจึงทำการฝึกทักษะการฟัง
และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วดิฉันก็ได้ฝึกทักษะการพูด
ดังนั้นดิฉันจึงกลับมาฝึกการฟังอีกครั้งในสัปดาห์นี้เพราจะได้ควบคู่กัน
วันที่21 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้เริ่มฝึกทักษะการฟัง
โดยในวันนี้ดิฉันได้ฝึกทักษะโดยการดูภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ
เรื่องBoyhoodซึ่งเป็นการฟังบทสนทนาของตัวละครนั่นเอง ซึ่งฉันได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จากเว็บไซต์ https://www.mastermovie-hd.com/boyhood-2014-%E0%B/มีความยาว2.45.38นาทีเพราะนอกจากได้ฝึกฝนไปในตัวเรายังได้ความผ่อนคลายซึ่งเรื่องBoyhood เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่เล่าผ่านสายตาของเด็กชายคนหนึ่ง
ซึ่งต้องเผชิญปัญหาทั้งเรื่องหย่าร้าง ชีวิตในโรงเรียน ภาระหน้าที่
และความรับผิดชอบที่มากับวัยที่โตขึ้น
สิ่งที่ทำให้หนังพิเศษกว่าหนังแนวเดียวกันในเรื่องอื่นๆ
ก็คือลิงค์เลเทอร์ได้เลือกโคลเทรนตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ให้มารับบทเป็นเมสัน และเริ่มถ่ายทำหนังตั้งแต่ปี 2002
โดยลิงค์เลเทอร์จะพาโคลเทรนมาจากบ้านในออสตินปีละครั้ง
เพื่อมายังกองถ่ายในเท็กซัส จากนั้นถามว่าชีวิตในช่วงปีที่ผ่านมาเป็นยังไง
แล้วก็ให้โคลเทรนอยู่กับครอบครัวปลอมๆ ที่อีธาน ฮอว์ค มารับบทเป็นพ่อ, แพทริเซีย อาร์เควตต์ มารับบทเป็นแม่ และลอเรไล ลิงค์เลเทอร์
ลูกสาวของผู้กำกับเอง มารับบทเป็นพี่สาวของเมสัน การถ่ายทำดำเนินเช่นนี้ทุกปี
ปีละหนึ่งสัปดาห์จนโคลเทรนอายุ 18 ปีโดยฟังในตอนแรกดิฉันฟังไม่รู้เรื่องเพราะดิฉันไม่ได้เปิดซับไตเติ้ลและในหนังตัวละครพูดไม่ถึงกับเร็วมากแต่ดิฉันก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องจึงดูได้ไม่ถึงครึ่งเรื่อง
และดิฉันก็หยุดดูแล้วกลับมาเปิดใหม่โดยในรอบนี้เปิดซับไตเติ้ลด้วยถึงแม้ว่าจะเปิดซับไตเติ้ลแล้วก็ยังฟังไม่ค่อยถนัดเท่าที่ควร
เพราะดิฉันคิดว่าตัวละครในเรื่องมีหลายช่วงอายุวัยเริ่มตั้งแต่เด็กและไปจนคนใหญ่ทำไมให้การฟังจึงฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะแต่ละคนมีสำเนียงการพูดที่ต่างกันยิ่งเป็นคนช่วงวัยกลางคนยิ่งฟังยากกว่าเดิม
ซึ่งดิฉันคิดถูกที่กลับมาฝึกทักษะการฟังอีกครั้งเพราะเมื่อฝึกการพูดแล้วควรกลับมาฝึกการฟัง
วันที่23 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้เริ่มฝึกทักษะการฟัง
โดยในวันนี้ดิฉันได้ฝึกทักษะโดยการดูภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ
เรื่อง Maleficent มาเลฟิเซนท์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจซึ่งฉันได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จากเว็บไซต์ http://www.movie2free.com/maleficent/.
มีความยาว1.37.28นาทีเพราะนอกจากได้ฝึกฝนไปในตัวเรายังได้ความผ่อนคลายซึ่งเรื่อง Maleficentจะเล่าถึงเรื่องราวที่ไม่เคยถูกเปิดเผยของ Maleficent สุดยอดตัวร้ายที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากของ ดิสนีย์
จากภาพยนตร์แอนิเมชั่นคลาสสิกปี 1959 เรื่อง เจ้าหญิงนิทรา (Sleeping
Beauty) ภาพยนตร์จะเปิดเผยเรื่องราวที่ทำให้เธอกลายเป็นคนไร้หัวใจและทำให้เธอเคียดแค้นทารกน้อยที่ชื่อ
"ออโรร่า" เรื่องราวที่ไม่เคยเปิดเผยของตัวร้ายที่โดดเด่นที่สุดจากภาพยนตร์แอนิเมชั่นสุดคลาสสิกของดิสนีย์ในปี
1959 เรื่อง "เจ้าหญิงนิทรา"
เรื่องราวของหญิงสาวผู้มีรูปโฉมงดงามและจิตใจอันบริสุทธิ์
มาเลฟิเซนท์ใช้ชีวิตอันสงบสุขเติบโตขึ้นมาในอาณาจักรที่ลึกเข้าไปในป่า
จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีกองทัพบุกเข้ามารุกรานความรื่นรมย์ของดินแดนแห่งนี้
มาเลฟิเซนท์ได้ลุกขึ้นมาเป็นผู้ปกป้องดินแดนของเธอ แต่แล้วเธอก็ต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสกับการถูกทรยศอย่างโหดร้าย
ซึ่งเปลี่ยนจิตใจอันบริสุทธิ์ของเธอให้กลายเป็นจิตใจอันเย็นชา ด้วยความที่ต้องการจะแก้แค้น มาเลฟิเซนท์
ต้องเผชิญกับการห้ำหั่นกับผู้วิเศษของพระราชาที่มาบุกรุก
และท้ายที่สุดก็ได้ทิ้งคำสาปไปสู่ลูกของพระราชาที่เพิ่งลืมตาดูโลกที่ชื่อ ออโรร่า
เมื่อเด็กสาวได้เติบโตขึ้น มาเลฟิเซนท์
ก็รู้ว่าออโรร่าคือกุญแจสำคัญที่จะนำพาสันติมาสู่อาณาจักร
และอาจนำมาซึ่งความสุขอันแท้จริงของมาเลฟิเซนท์เช่นเดียวกันและสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้มีทั้งพากย์ภาษาไทยและพากย์ภาษาอังกฤษ
ซึ่งในวันนี้ดิฉันเลือกดูในพากย์ภาษาไทย
สำหรับการฟังในภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกแนวแฟนตาซีและตัวหลักของเรื่องจะเป็นแนวในทางดุร้ายบางครั้งก็มีการเปล่งเสียงทรงพลังบางครั้งก็ออกแนวโหดร้าย
น้ำเสียงจึงเข้มข้น บางครั้งจึงฟังไม่ทัน ฟังได้ไม่ถนัดเลย เพราะบางคำก็มีการเชื่อมคำดิฉันก็ฟังไม่ออก
จนสุดท้ายดิฉันจึงต้องเปิดซับไตเติ้ลเพราดิฉันคิดว่าถ้าไม่เปิดซับไตเติ้ลดิฉันคงฟังและดูหนังไม่จบเรื่องแน่
วันที่25 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้เริ่มฝึกทักษะการฟัง
โดยในวันนี้ดิฉันได้ฝึกทักษะโดยการดูภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Gone Girl ซึ่งฉันได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จากเว็บไซต์ https://www.mastermovie-hd.com/tag/gone-girl-2014-hd/ มีความยาว2.29.01นาทีเพราะนอกจากได้ฝึกฝนไปในตัวเรายังได้ความผ่อนคลายซึ่งเรื่อง Gone Girl ว่าด้วยเรื่องราวของคู่สมรสคู่หนึ่ง นิค (เบน แอฟเฟล็ก) และ เอมี
(โรซามันด์ ไพค์) เรื่องเกิดเมื่อเขาทั้งสองได้ย้ายจากนิวยอร์กไปยังมิดเวสต์
หลังจากที่เขาย้ายไปอยู่ที่นั้นแล้วได้เกิดเรื่องขึ้น เมื่อ เอมี
ได้หายตัวไปในวันครบรอบแต่งงาน 5 ปี
โดยไม่รู้สาเหตุว่าเธอถูกฆ่าหรือถูกลักพาตัวไป พร้อมทั้งยังเจอบันทึกลับของ เอมี
ที่เล่าเรื่องชีวิตคู่ที่ผ่านมาอีกด้วย นิค ได้กลายเป็นผู้ต้องสงสัยทันที
เนื่องจากเขามีพฤติกรรมน่าสงสัย ใครกันแน่ที่เป็นคนโกหก ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ
ติดตามชมได้ใน Gone Girl ในแบบฉบับของ เดวิด ฟินเชอร์
เรื่องราวความโหดร้ายที่เกิดขึ้นผ่านวัฒนธรรมสื่อสมัยใหม่ของเรา
และสำรวจลึกถึงข้อบกพร่องด้านมืดที่เกิดขึ้นกับชีวิตแต่งงานของชาวอเมริกัน
ในคำสัญญาที่เชื่อถือไม่ลง กลการลวงที่ยากจะหลีกเลี่ยงและแฝงตลกร้าย
หัวใจสำคัญของเรื่องอยู่ที่คู่รัก ซึ่งเป็นอดีตนักเขียนชาวนิวยอร์ก นิค ดันน์ และภรรยา "แสนสวย" ของเขา เอมี พยายามทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพในมิดเวสต์ที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ท่ามกลางปัญหาชีวิตสมรสที่วนเวียนอยู่ในยุคปัจจุบัน แต่ในโอกาสครบรอบวันแต่งงานปีที่ 5 เอมี่ได้หายตัวไป ปริศนานั้นได้สร้างรอยร้าวให้เกิดความสับสน นิคตกเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญและมีพฤติกรรมน่าสงสัย ส่วนเอมี่ก็ถูกสื่อต่าง ๆ ประกาศตามหากันอย่างครึกโครม ไม่ว่าเธอจะเป็นหรือตายความจริงจะต้องเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนที่อยากทราบเรื่อง นิคและเอมีเป็นคู่รักแบบอย่างที่มีความโรแมนติก การหายตัวไปของเอมี่มีเบาะแสทุกอย่างที่เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงการก่ออาชญากรรมของชาวอเมริกัน แต่การหายตัวไปของเธอเหมือนการสะท้อนถึงความลับที่ป่าเถื่อนและน่าตื่นตะลึง ซึ่งนำไปสู่ความน่ากลัว เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้สร้างความสะเทือนขวัญและความสับสน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังที่ต้องลุ้นอยู่ตลอดเวลา ดิฉันคิดว่าฝึกทักษะการฟังจากหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเพราะจะออกแนวสืบสวน และฆาตกรรมทำให้ดิฉันไม่ค่อยมีสมาธิในการฟังเท่าที่ควรเพราะมัวแต่ไปการสนทนาของตัวละครมากกว่า ทำให้ฟังไม่ค่อยออก จึงต้องเปิดซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อจะได้มาสนใจการสนทนาของตัวละคร แต่เมื่อเปิดซับไตเติ้ลแล้ว ดิฉันก็ยังฟังไม่ค่อยออก ดิฉันพบว่าการฟังสำเนียงของตัวละครมีปัญหากับดิฉันมาก จึงต้องควรฟังต่อไปเรื่อยๆ
หัวใจสำคัญของเรื่องอยู่ที่คู่รัก ซึ่งเป็นอดีตนักเขียนชาวนิวยอร์ก นิค ดันน์ และภรรยา "แสนสวย" ของเขา เอมี พยายามทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพในมิดเวสต์ที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ท่ามกลางปัญหาชีวิตสมรสที่วนเวียนอยู่ในยุคปัจจุบัน แต่ในโอกาสครบรอบวันแต่งงานปีที่ 5 เอมี่ได้หายตัวไป ปริศนานั้นได้สร้างรอยร้าวให้เกิดความสับสน นิคตกเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญและมีพฤติกรรมน่าสงสัย ส่วนเอมี่ก็ถูกสื่อต่าง ๆ ประกาศตามหากันอย่างครึกโครม ไม่ว่าเธอจะเป็นหรือตายความจริงจะต้องเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนที่อยากทราบเรื่อง นิคและเอมีเป็นคู่รักแบบอย่างที่มีความโรแมนติก การหายตัวไปของเอมี่มีเบาะแสทุกอย่างที่เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงการก่ออาชญากรรมของชาวอเมริกัน แต่การหายตัวไปของเธอเหมือนการสะท้อนถึงความลับที่ป่าเถื่อนและน่าตื่นตะลึง ซึ่งนำไปสู่ความน่ากลัว เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้สร้างความสะเทือนขวัญและความสับสน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังที่ต้องลุ้นอยู่ตลอดเวลา ดิฉันคิดว่าฝึกทักษะการฟังจากหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเพราะจะออกแนวสืบสวน และฆาตกรรมทำให้ดิฉันไม่ค่อยมีสมาธิในการฟังเท่าที่ควรเพราะมัวแต่ไปการสนทนาของตัวละครมากกว่า ทำให้ฟังไม่ค่อยออก จึงต้องเปิดซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อจะได้มาสนใจการสนทนาของตัวละคร แต่เมื่อเปิดซับไตเติ้ลแล้ว ดิฉันก็ยังฟังไม่ค่อยออก ดิฉันพบว่าการฟังสำเนียงของตัวละครมีปัญหากับดิฉันมาก จึงต้องควรฟังต่อไปเรื่อยๆ
การเรียนการสอนภาษาอังกฤษประการแรกน่าจะใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์
เช่นเดียวกับการที่เราเรียนรู้ภาษาแรกจากพ่อแม่ พี่เลี้ยง
เป็นการเรียนรู้แบบธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องท่องศัพท์ แปล หรือ รู้หลักไวยากรณ์
ดังนั้นการเรียนการสอนในระดับเริ่มเรียนรู้ภาษานั้น
คงต้องเน้นการมีส่วนร่วมทางภาษาให้มากที่สุด
คือผู้เรียนต้องเรียนรู้จากการฟังและพูดอย่างเป็นธรรมชาติจนเกิดทักษะ
เริ่มจากการพูดในชีวิตประจำวันในครอบครัว แล้วค่อยขยายออกไปสู่โลกภายนอกมากขึ้น
เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในการศึกษาขั้นสูงขึ้น แต่ในปัจจุบันนี้ได้มีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยส่วนหนึ่งในการฝึกทักษะ
ซึ่งเมื่อดิฉันเลือกฝึกโดยผ่านการฟังการสนทนาจากตัวละครดิฉันก็ยังพบว่ายังมีปัญหากับดิฉันมากพอสมควร
เพราะละครบางเรื่องมีสำเนียงการออกเสียงที่ต่างกัน
บางครั้งก็สนใจตัวละครมากกว่าฟังเพราะมัวแต่สนใจในละคร
จึงทำให้ฟังไม่ค่อยออกจึงมีคามจำเป็นยิ่งที่จะต้องฝึกและพัฒนาทักษะต่างๆให้เก่งและใช้ได้ในสังคมยุคต่อไป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น