วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กลยุทธ์ในการเรียนภาษา

กลยุทธ์ในการเรียนภาษา
            ในยุคที่ภาษาอังกฤษกำลังเฟื่องฟูมีการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในระบบที่หลากหลายลักษณะยิ่งขึ้นกว่าเดิม ได้มีโรงเรียนสอนภาษาหลายๆภาษาที่มีภาษาอังกฤษร่วมขึ้นด้วย ในปัจจุบันนี้ได้มีการใช้การเรียนการสอนแบบภาษาอังกฤษล้วนดังนั้นจึงได้มี โปรแกรมอินเตอร์เกิดขึ้น และนับว่าในยุคปัจจุบันนี้ภาษาอังกฤษก็มีการใช้อย่างต่อเนื่องและเทคโนโลยีก็มีการพัฒนาก้าวไกลเรื่อยๆจึงได้มีการสอนภาษาอังกฤษผ่านทาง วิทยุ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต ซึ่งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้ภาษาอีกด้วย แต่ว่าการเรียนภาษานั้นจะแตกต่างจากการเรียนวิชาอื่นๆคือ การเรียนภาษานั้นต้องเรียนควบคู่กันคือ ความรู้และทักษะ  ความรู้คือภาคทฤษฎี ส่วนทักษะนั้นคือภาคปฏิบัติหากเรียนแต่ภาคทฤษฏีแล้วภาคปฏิบัติก็ไม่ได้ฝึกนั้น การเรียนก็ย่อมไม่บรรลุผลตามเป้าหมายของภาษา แต่ทว่าหากจะให้บรรลุเป้าหมายตามคาดหวังก็คงเป็นไปไม่ค่อยได้เพราะ คุณมาตรฐานในเรื่องการเรียนการสอนนั้นยังคงเป็นปัญหาสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
                กล่าวคือคุณภาพการเรียนการสอนภาษายังคงเป็นปัญหาคือ ผู้เรียนส่วนใหญ่ในทุกระดับยังไม่รู้ภาษาอังกฤษพอที่จะฟัง พูด อ่าน เขียน และแปล นักเรียนนักศึกษาสมัยนี้จะดูอ่อนภาษาอังกฤษยิ่งกว่าในสมัยก่อนอีกทั้งที่น่าจะดูเก่งกว่าเนื่องจากในยุคสมัยนี้มีโอกาสได้พบเห็นมากกว่าในยุคสมัยก่อนดังนั้นจึงได้มีการหยิบยกปัญหาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษขึ้นมาวิจารณ์ คนส่วนใหญ่มักจะมุ่งไปที่เหตุปัจจัยภายนอกตัวผู้เรียน โทษครูผู้สอน ว่าขาดความรู้ความชำนาญในการใช้ภาษา โทษตำรา แบบเรียน และสื่อการเรียนการสอนว่าขาดคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน เพราะมีข้อผิดพลาด บกพร่อง ไม่น่าสนใจ โทษสถานศึกษาและการจัดการเรียนการสอนว่าจัดสัดส่วนให้น้อยเกินไป  โทษนโยบายของรัฐ ว่าขาดทิศทางและยุทธศาสตร์ในการจัดการศึกษาภาษาอังกฤษ โทษสภาพแวดล้อมทางสังคม ว่าไม่เอื้อต่อการใช้ภาษาในสถานการณ์จริง จริงอยู่การจะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล ย่อมมีเหตุปัจจัยหลายอย่างประกอบกันแต่เมื่อพิจารณาแล้วตัวผู้เรียนคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด
                เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ ผู้เรียนภาษาอังกฤษจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากกว่าการท้อแท้ และควรจะหันมามองหาข้อดีและใช้ประโยชน์จากปัจจัยเชิงบวกให้มากที่สุด แต่ในการพึ่งตนเองในการเรียนภาษาอังกฤษจนสัมฤทธิผลนั้นจำเป็นต้องดำเนินไปเป็นระบบเริ่มตั้งแต่วัตถุประสงค์และเป้าหมาย ก็สมควรกำหนดให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ต้องมีกรอบเวลาที่ชัดเจนเมื่อกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายได้แล้วก็ต้องรู้จักจัดเตรียม และเสาะหาสื่อและแหล่งความรู้ที่เอื้อต่อการฝึกฝนทักษะด้วยตนเอง เช่น โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เพื่อการรับชมข่าวสารต่างประเทศ ห้องสมุดแหล่งเรียนรู้ด้วยตนเองในสถานศึกษา คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ซึ่งใช้ประโยชน์ได้มากมายหลากหลาย การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่ออ่านข่าว ฟังข่าว และฟังข่าวจากสำนักต่างประเทศ และค้นหาจากเว็บไซต์ซึ่งกลายเป็นฐานข้อมูลทางภาษาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อรู้จักจัดเตรียม สื่อแหล่งข้อมูลพร้อมแล้ว ขั้นต่อไปก็จำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์ในการเรียน และกลยุทธ์ในการเรียนภาษามีองค์ประกอบทั้งสิ้น 10 ประการ ได้แก่ ศึกษา ฝึกฝน สังเกตจดจำ เลียนแบบ ดัดแปลงวิเคราะห์ ค้นคว้า ใช้งาน ปรับปรุง ซึ่งขยายความได้ดังนี้

                1. ศึกษาการเรียนภาษาจะต้องเริ่มจากความรู้เกี่ยวกับตัวภาษาโดยตรงก่อนเสมอ ความรู้ที่เปรียบเหมือนเสาหลักมีอยู่ 2 ด้าน คือ ศัพท์ ถ้อยคำที่ใช้แทนความหมาย ส่วน ไวยากรณ์ คือระเบียบกฎเกณฑ์ว่าด้วยการนำถ้อยคำมาร้อยเรียงประกอบเข้ากันให้เป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้เชื่อมความได้สมบูรณ์ นอกจากตัวเนื้อภาษาแล้วยังมีความรู้อีก 2ด้านใหญ่ๆที่ไม่ควรละเลย คือ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของภาษา ความรู้เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมชนชาติของเจ้าของภาษา เป็นความรู้ประกอบที่จะช่วยให้ผู้เรียนภาษาเข้าใจภาษามากยิ่งขึ้น และช่วยให้การสื่อสารกับเจ้าของภาษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผู้สอนนักวิชาการบางส่วนมักพูดเสมอว่า ภาษาเป็นวิชาทักษะ ไม่ใช่วิชาเนื้อหา จนทำให้ผู้เรียนเข้าใจผิดว่า ภาษาเป็นวิชาที่ไม่มีเนื้อหาให้เรียน ในภาษาจึงไม่ต้องมีการเรียนเนื้อหา จึงต้องมีเพียงการการฝึกทักษะ ทำให้ไม่มีการใส่ใจว่าเนื้อหาคือคำศัพท์และไวยากรณ์ ซึ่งนั่นคือตัวเนื้อหาโดยตรง แต่ว่าการฝึกทักษะและฝึกฝนก็เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งในการเรียนภาษาอังกฤษ

                2. ฝึกฝน การเรียนภาษาแตกต่างจากการเรียนวิชาอื่น เป็นส่วนใหญ่ซึ่งต้องมีสองด้านควบคู่กันไปคือ ความรู้และทักษะ การเรียนแต่ภาคทฤษฎีโดยไม่ฝึกภาคปฏิบัติ ย่อมไม่อาจทำให้บรรลุเป้าหมาย คือไม่สามารถใช้ภาษาได้ ถึงแม้ว่าจะมีการฝึกแต่ทักษะแต่ก็มิได้ละเลย การเรียนเนื้อหาภาคทฤษฎี เพราะการฝึกทักษะทางภาษาคือการฝึกพฤติกรรมการใช้ภาษาซ้ำๆจากข้อมูลความรู้จากฐานข้อมูลจนผู้เรียนสามารถสื่อสารได้ถูกต้องคล่องแคล่ว การจะฝึกฝนภาษาให้ได้ผล จำเป็นต้องผ่านอินทรีย์หลายทางควบคู่กัน ตา-ดู ครอบคลุมทั้งการอ่าน ตัวหนังสือและข้อความ และการดู ภาพยนตร์ โทรทัศน์ การสังเกต สังเกตกริยาท่าทางระหว่างการสนทนา หู ฟัง ครอบคลุมทั้งการฟังและน้ำเสียงของผู้พูดในการสนทนา ฟังบรรยาย ฟังเสียงภาพยนตร์ โทรทัศน์ และสื่อมัลติมีเดียทางคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ปาก พูด หมายถึงการออกเสียง การสนทนา การอ่านออกเสียง มือ-เขียน ผู้เรียนต้องใส่ใจเรื่องระเบียบแบบแผนที่ถูกต้องในการเขียน  ทั้งสี่ทางนี้สอดคล้องกับทักษะการใช้ภาษา 4 ด้าน และยังต้องมีแรงเสริมอีก2ทาง คือหัว-คิด สมรรถนะทางด้านปัญญา ใจ-รัก สมรรถนะทางด้าน จิต ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในบ้านเราสาเหตุที่ยังใช้ไม่คล่องคือ ผู้เรียนยังฝึกใช้ภาษาน้อยเกินไป และยังขาดการสังเกต สำหรับดิฉันการฝึกฝนคือการฟังและดูยูทูป โดยจะฟังเพลงในยูทูปตอนแรกจะฟังก่อนแล้วรอบหลังค่อยเปิดแบบที่มีlyrics เพื่อฝึกทักษะการอ่านด้วยและในบางครั้งก็ดูภาพยนตร์ออนไลน์ที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษจะดูในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษบางครั้งมีภาษาไทยแปลร่วมด้วยหรือบางครั้งดูภาษาไทยแล้วมีภาษาอังกฤษร่วมด้วยจะได้เป็นการฝึกการสังเกตไปในตัวด้วย

                3. สังเกตภาษาอังกฤษมีเนื้อหาอยู่มาก บางเรื่องบางด้านยังซับซ้อน บางเรื่องเป็นลักษณะของการใช้ภาษาเองไม่อาจใช้เหตุผลได้ ผู้เรียนภาษาที่ดีจึงต้องหัดเป็นผู้สังเกต เพราะมีความละเอียดถี่ถ้วนรอบคอบในการเรียนและใช้ภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสนใจในเรื่องใหญ่คือ ไวยากรณ์ เช่น โครงสร้างวลีและประโยค การผันรูปกริยาตาม tense  , ศัพท์ เช่น ชนิดของคำ คำที่มีหลายความหมาย คำที่มักปรากฏร่วมกัน และภาษาสำเร็จรูป ซึ่งมีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างศัพท์กับไวยากรณ์ ได้แก่ โวหาร ซึ่งใช้สื่อความหมายในสถานการณ์ต่างๆ ตามความนิยมในการใช้ภาษา เช่น การทักทาย การขอบคุณ สำนวน ซึ่งมีความหมายแตกต่างจากความหมายของถ้อยคำที่มารวมกัน ตลอดจนสุภาษิต ซึ่งใช้แทนถ้อยคำทั่วไป แต่สื่อความหมายเป็นคติสอนใจได้อีกด้วย ดังนั้นผู้เรียนภาษาจึงต้องเป็นคนหัดสังเกตเพราะจะได้แยกแยะเนื้อหาต่างๆในการเรียนได้ เมื่อมีการสังเกตแล้ว ผู้เรียนยังต้องมีคือการจดจำเพราะหากสังเกตแล้วแต่จดจำไม่ได้ก็ถือว่าเปล่าประโยชน์ไม่สามารถนำไปใช้ได้
                4. จดจำ มีนักการศึกษาส่วนหนึ่งมักจะโจมตีว่าการศึกษาแบบจดจำหรือท่องจำคือการเรียนแบบผิดๆ จนทำให้ผู้คนเข้าใจว่าการเรียนแบบนี้เป็นวิธีที่เชย และล้าสมัยไม่มีการพัฒนาและไม่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์การท่องจำจึงไม่เกิดการเรียนรู้ แต่แท้จริงแล้วความจำเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการเรียนรู้ทุกชนิด รวมทั้งการเรียนภาษาอีกด้วย โดยเฉพาะการเรียนภาษาต่างประเทศ ในหลายๆกรณี การฝึกฝนอาจไม่เพียงพอแต่ต้องอาศัยการท่องจำมาเสริมจากการท่องจำก็มาถึงเรื่อง การจดจำการจดจำสำคัญคือเพราะบางครั้งจะอาศัยการท่องปากเปล่าเพียงอย่างเดียวอาจไม่เหมาะสมต่อสถานการณ์ หรือไม่เพียงพอจำต้องอาศัยการบันทึกลายลักษณ์อักษรควบคู่ไปกับการท่องปากเปล่า สิ่งที่จดไว้ยังสามารถเป็นลายลักษณ์อักษรเก็บไว้ตรวจสอบหรืออ้างอิงภายหลังได้ เมื่อเกิดการเรียนรู้จากการท่องจำ และการจดจำ ดังนั้นพฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ควรจะมีคือการเลียนแบบเพราะเป็นขั้นตอนต่อเนื่องมาจากการจดจำ ในเมื่อจดจำได้แล้วจึงต้องมีพฤติกรรมการเลียนแบบเกิดขึ้น
                5. เลียนแบบ แต่ละภาษาจะมีสัญนิยม ของตนเองเพื่อเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างคนที่ใช้ภาษาเดียวกัน มิฉะนั้นจะสื่อสารกันไม่ได้เลย คนที่เป็นสมาชิกใหม่ของประชาคมที่ใช้ภาษานั้นก็ต้องยอมรับศึกษา และใช้สัญนิยมตามนั้น ด้วยเหตุนี้ภาษาจึงต้องอาศัยการเลียนแบบตลอดทุกขั้นตอนไปจนตลอดชีวิต เริ่มจากเด็กที่เรียนภาษา ย่อมต้องหัดพูดตามหรือเลียนแบบภาษาของพ่อและแม่และบุคคลอื่นในครอบครัว เมื่อย่างเข้าสู่วัยเรียน นักเรียนก็จะต้องศึกษาเลียนแบบภาษาครู ด้วยเหตุนี้ข้อแตกต่างระหว่างเรียนภาษาแม่กับการเรียนภาษาต่างประเทศก็คือผู้ที่เรียนภาษาแม่อยู่ในสิ่งแวดล้อมของเจ้าของภาษา จึงมีแหล่งข้อมูลความรู้ภาษาที่ถูกต้องมากกว่าและมีมากมายเพียงพอที่จะใช้เป็นแบบฝึกตามได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการพัฒนาคือการนำพจนานุกรมสอดแทรกประโยคตัวอย่างที่แสดงใช้วิธีถ้อยคำตามภาษาที่ใช้จริง ในพจนานุกรมยังบันทึกเสียงคำอ่านของศัพท์และมักเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถอัดเสียงตามได้ทำให้เป็นการฝึกเลียนแบบอีกแนวทางหนึ่ง เมื่อมีการเลียนแบบแล้วขั้นต่อไปคือการดัดแปลงเพราะนอกจากเลียนแบบแล้วจะต้องมีการดัดแปลงให้เข้ากับวัตถุประสงค์อีกด้วย
                6. ดัดแปลง เมื่อเลียบแบบแล้วต้องรู้จักดัดแปลงให้เข้ากับวัตถุประสงค์ในการใช้ภาษาในสถานการณ์ต่างๆ การดัดแปลงย่อมต้องเข้าใจ ไวยากรณ์ประกอบกับความรู้ของศัพท์และสำนวนโวหารต่างๆ ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษล้วนสำหรับผู้เรียนภาษา จึงให้ข้อมูลทางไวยากรณ์ในรูปแบบของโครงกริยา หรือโดยใช้รหัสไวยากรณ์ เช่น- believe [+that] I believe that all children are born with equal intelligence. , believe [ + object +adj. ] All the crew are missing , believed dead. ข้อมูลลักษณะนี้จะเอื้อประโยชน์ให้ผู้ใช้สามารถดัดแปลงถ้อยคำและโครงสร้างที่ปรากฏในประโยคตัวอย่างได้สะดวกยิ่งขึ้น และนอกจากเราสามารถดัดแปลงประโยคได้แล้วเราต้องคำนึงถึงความถูกต้องด้วย ดังนั้นปัจจัยอีกหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการวิเคราะห์
                7. วิเคราะห์ ในการเรียนภาษานั้นผู้เรียนจำเป็นต้องศึกษาหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น การฝึกฝน การจดจำ การเลียนแบบ และการดัดแปลง แต่เมื่อเรียนในระดับที่สูงขึ้นจึงจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในการอ่านการเขียน ซึ่งมีความซับซ้อนยิ่งกว่าภาษาทั่วๆไป การวิเคราะห์จึงมีได้3ระดับ คือ ระดับศัพท์ คือวิเคราะห์โครงสร้างและความหมายของคำศัพท์ ต่อไปคือระดับไวยากรณ์ จะต้องวิเคราะห์โครงสร้างและรูปประโยค และสุดท้ายคือ ระดับถ้อยความ จะต้องวิเคราะห์ทั้งโครงสร้างและความหมายระหว่างประโยค ตลอดจนความหมายโดยรวม เมื่อเราได้ทำการวิเคราะห์แล้วแต่ยังไม่เพียงพออาจต้องมีกลยุทธ์เข้ามาเสริมที่ขาดไม่ได้คือ ค้นคว้า
                8. ค้นคว้า ความรู้ที่มีอยู่ในตำรา แบบเรียน สื่อการเรียนอื่นๆอาจยังไม่เพียงพอ ผู้เรียนจำเป็นต้องมีการค้นคว้าศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะพจนานุกรมภาษาอังกฤษล้วนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้เรียนภาษา การเรียนการสอนในประเทศไทยยังอ่อนด้อยเป็นอย่างมากในการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม เพราะนักเรียนไทยรอรับจากครูเพียงเท่านั้น สังเกตจากการออกเสียงสาเหตุที่นักเรียนไทยออกเสียงผิดพลาดนั้นมักเกิดจากเด็กไทยออกเสียงตามครูเท่านั้นไม่ได้ออกตามหลักที่แท้จริง  อีกทั้งยังไม่ได้รับการปลูกฝังในเรื่องการค้นคว้า ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับผู้เรียนที่จะต้องจัดการตัวเองค้นคว้าเพื่อได้ใช้ในอนาคตและยังปลูกฝังการตรวจสอบในตัวเราอีกด้วย และได้เรียนรู้วิธีใช้สัทอักษรประกอบกับการฝึกออกเสียงและการฟังจากเจ้าของภาษา ทั้งนี้เมื่อเราได้ศึกษาและเรียนรู้เนื้อหาแล้วขั้นตอนต่อไปคือการนำไปประยุกต์ใช้งานในอนาคต
                9. ใช้งาน  ในเมื่อเราได้เรียนรู้ทั้งเนื้อหาและส่วนประกอบทักษะต่างๆ ทั้งทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน มันก็สมควรที่จะใช้งานเพราะจะได้ทดสอบและตรวจสอบตัวเราด้วยว่าความรู้ทักษะเรามีเพียงพอแล้วหรือไม่ เพียงพอที่จะออกไปสู่โลกภายนอก โลกกว้าง หรือพร้อมจะออกไปถ่ายทอดแก่ลูกศิษย์ การได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตในบางประเทศจะทำให้เราได้ใช้ภาษาในสภาพจริงอย่างเต็มที่ ได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมของภาษา เป็นปัจจัยที่เสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนภาษาและยังทำให้เราได้รู้จุดอ่อนจุดด้อยของเราจะได้ปรับปรุง และกลยุทธ์สุดท้ายอีกหนึ่งปัจจัยคือ ปรับปรุง
                10. ปรับปรุง เมื่อได้ผ่านการศึกษา การค้นคว้า การดัดแปลงแล้ว ยังมีหลายด้านที่เราต้องพัฒนาควบคุม เมื่อมีการใช้งานแล้วหากมันยังไม่บรรลุตามเป้าหมายอย่างเต็มที่เราควรนำมาวิเคราะห์ เราจะต้องเรียนรู้จากข้อผิดพลาดข้อบกพร่องของตัวเองไม่ว่าจะเป็น ศัพท์สำนวน ไวยากรณ์ วิธีออกเสียงหรือในด้านอื่นๆก็ตามแล้วนำกลับมาปรับปรุงแก้ไข เพื่อที่จะได้มีความถูกต้อง สมบูรณ์แบบ100% และสามารถนำไประยุกต์ใช้กับอนาคตของตัวเองได้เนื่องจากเราได้เรียนรู้และได้มีการพัฒนาซึ่งบางครั้งอาจแตกต่างอย่างมากจากประสบการณ์ และควรหาโอกาสไปทดสอบเพื่อวัดความก้าวหน้า
                อนึ่งองค์ประกอบทั้งสิบของกลยุทธ์ในการเรียนภาษานี้มีความเกี่ยวเนื่องกันและสนับสนุนซึ่งกันและกัน จำเป็นต้องนำมาใช้บ่อยๆใช้อย่างสม่ำเสมอ และยังต้องใช้ต่อเนื่องตลอดไปอีกด้วย จึงจะบังเกิดผล เพราะว่าการเรียนภาษาถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต ความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาเป็นสิ่งที่ต้องเพาะบ่มสะสม เป็นเวลานาน มิใช่จะได้โดยเพียงผ่านการอบรม ผ่านโรงเรียนกวดวิชา ดังที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน
                ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าการเรียนภาษาต่างประเทศสำหรับคนไทยถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยาก เรื่องที่ซับซ้อน แต่มันก็ไม่ได้แปลกใหม่ไปสำหรับในยุคปัจจุบันนี้เพราะการใช้ภาษาอังกฤษนั้นได้มีการใช้มาช้านานแล้วแต่ที่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนไทยคือ การไม่เปิดใจยอมรับที่จะใช้ภาษาอย่างเข้าใจไม่เปิดใจยอมรับที่จะฝึกที่จะพัฒนาหากยังกล่าวโทษสิ่งแวดล้อมปัจจัยนอกแล้วคงเป็นไปไม่ได้ต้องกลับมาดูที่ปัจจัยหลักคือ ตนเองด้วยว่าเราพร้อมที่จะยอมรับมันแล้วหรือไม่ พร้อมที่จะฝึกฝนกันแล้วหรือยังโดยการที่เราคิดว่าเราไม่เก่ง เราทำไม่ได้เพราะเรายังกลัว กลัวไปทุกอย่าง กลัวผิดหลักไวยากรณ์ กลัวผิดศัพท์แต่ถ้าหากเราลองพุ่งชนพุ่งเข้าใส่กล้าที่จะทำ เราก็สามารถทำมันได้และไม่ใช่แค่เพียงกลยุทธ์แค่10 ข้อนี้แล้วเราจะฝึกเพียงแค่นี้เราก็ควรต้องหาวิธีพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆด้วยซึ่งกลยุทธ์10ข้อนี้เป็นเพียงแนวทางเริ่มต้น แต่ถ้าหากว่าเราพัฒนาได้เยอะกว่านี้อีกไม่นานในอนาคตอันใกล้นี้การเรียนภาษา การใช้ภาษาอังกฤษจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

การแปล Template by Ipietoon Cute Blog Design and Homestay Bukit Gambang

Blogger Templates