ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อการแปล
คำว่า “โครงสร้าง” ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “structure”
ซึ่งพจนานุกรม The American Heritage Dictionary of the
English Language (1980:1278) ให้ความหมายไว้ 5 ประการ คือ 1) a
complex entity. 2) a. The configuration of element, parts,
or constituents in such and an entity; organization; arrangement.b.
constitution; make-up. 3) The interrelation of parts or
the principle of organization in a complex entity. 4) Relatively
intricate or extensive organization: an elaborate electric structure. 5) Something constructed, especially, a building or part.
โครงสร้างเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการเรียนรู้ภาษาหรือการใช้ภาษา
ในการแปลผู้แปลมักนึกถึงศัพท์แต่ปัญหาที่สำคัญกว่าศัพท์คือปัญหาทางโครงสร้างนักแปลผู้ใดก็ตามที่ถึงแม้จะรู้ศัพท์แต่ละคำในประโยคแต่หากไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของศัพท์เหล่านั้นก็มีโอกาสล้มเหลวได้
1.ชนิดของคำและประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญ
ชนิดของคำเป็นสิ่งสำคัญในโครงสร้าง
เพราะเมื่อเราสร้างประโยคเราต้องนำคำมาเรียงร้อยกันให้เกิดความหมายที่ต้องการสื่อสารประโยคจะถูกไวยากรณ์เมื่อเราใช้ชนิดคำตรงกับหน้าที่ทางไวยากรณ์
ประเภททางไวยากรณ์
หมายถึงลักษณะสำคัญในไวยากรณ์ของภาษาใดภาษาหนึ่ง ซึ่งมักสัมพันธ์กับชนิดของคำ เช่น
บุรุษ พจน์ ลิงค์ การก กาล มาลา วาจก
1. คำนาม
ประเภททางไวยากรณ์ที่เป็นลักษณะสำคัญหรือลักษณะที่มีตัวบ่งชี้
ในภาษาอังกฤษแต่เป็นลักษณะที่ไม่สำคัญหรือไม่มีตัวบ่งชี้ในภาษาไทย
1.1บุรษ(person) เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกว่าคำนามหรือสรรพนามที่นำมาใช้ในประโยคหมายถึงผู้พูด
(บุรุษที่1) ผู้ที่ถูกพูดด้วย (บุรุษที่2) หรือผู้ที่ถูกพูดถึง (บุรุษที่3)
1.2 พจน์
เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกจำนวนว่าเป็นจำนวนเพียงหนึ่งหรือจำนวยมากกว่าหนึ่ง ในภาษาอังกฤษมีการบ่งชี้พจน์โดยใช้
ตัวกำหนด (determiner) ที่ต่างกัน
แต่ในภาษาไทยไม่มีการบ่งชี้ เพราะภาษาไทยไม่มีการแยกสรรพสิ่งตามจำนวน
1.3 การก (case)
คือประเภททางไวยากรณ์ของคำนามเพื่อบ่งชี้ว่าคำนามนั้นเล่นบทบาทอะไร
ในภาษาอังกฤษการกของคำนามมักแสดงโดยการเรียงคำ
ในภาษาไทยไม่มีการเติมหน่วยท้ายคำเพื่อแสดงการก
แต่ใช้การเรียงคำเหมือนกับการกประธานและการกกกรมในภาษาอังกฤษ
1.4 นามนับได้ กับ นามนับไม่ได้ ( countable
uncountable nouns ) คำนามในภาษาอังกฤษต่างจากภาษาไทยในเรื่องการแบ่งปัน
นามนับได้และนามนับไม่ได้
ผู้พูดภาษาอังกฤษทุกคนแยกความแตกต่างระหว่างคำนามกับคำนาม
ความแตกต่างดังกล่าวแสดงโดยการใช้ตัว a/an กับนามนับได้ที่เป็นเอกพจน์
และเติม –sที่นามนับได้พหูพจน์ ส่วนนามนับไม่ได้ต้องไม่ใช้ a/an
และต้องไม่เติม –s
1.5 ความชี้เฉพาะ ( definiteness ) ความชี้เฉพาะได้แยกความแตกต่างระหว่างนามชี้เฉพาะกับนามไม่ชี้เฉพาะ
การแยกความแตกต่างระหว่างชี้เฉพาะกับไม่ชี้เฉพาะนี้ไม่มีในภาษาไทย
ดังนั้นเวลาคนไทยแปลไทยเป็นอังกฤษจึงต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ
2. คำกริยา
คำกริยานับได้ว่าเป็นหัวใจของประโยค การใช้กริยาซับซ้อนกว่าคำนาม
เพราะมีประเภททางไวยากรณ์ต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องกับหลายประเภท เช่น กาล การณ์ลักษณะ
มาลา วาจก เป็นต้น
2.1 กาล ( tense )คำกริยาในภาษาอังกฤษต้องแสดงกาลเสมอว่าเป็นอดีต
หรือไม่ใช่อดีต
2.2 การณ์ลักษณะ (aspect )
หมายถึงลักษณะของการกระทำหรือเหตุการณ์ ในภาษาอังกฤษ การณ์ลักษณะที่สำคัญ ได้แก่
การณ์ลักษณะต่อเนื่องหรือ การณ์ลักษณะดำเนินอยู่ ( continuous aspectหรือ progressive aspect ) ซึ่งแสดงโดย Verb
to be + present participle (-ing) และการณ์ลักษณะเสร็จสิ้น (perfective
aspect) ซึ่งแสดงโดย Verb to have+ past participle การณ์ลักษณะเหล่านี้เป็นลักษณะที่คนไทยเข้าใจง่ายเพราะภาษาไทยมีการณ์ลักษณะทำนองนี้เหมือนกัน
2.3
มาลา (mood) มาลาเป็นประเภททางไวยากรณ์ที่ใช้กับคำกริยา
มีหน้าที่แสดงว่าผู้พูดมีทัศนคติต่อเหตุการณ์หรือเรื่องที่พูดอย่างไร
ในภาษาไทยคำกริยาไม่มีการใช้มาลาแต่ในภาษาอังกฤษมี
มาลาในภาษาอังกฤษแสดงโดยการเปลี่ยนรูปคำกริยา
หรืออาจแสดงโดยคำช่วยกริยาที่เรียกว่า modal auxiliaries ปัญหาที่เกี่ยวกับมาลาในการแปลภาษาอังกฤษเป็นไทยอาจพบน้อยกว่าแปลไทยเป็นอังกฤษเพราะในภาษาอังกฤษมีรูปแบบหลากหลายกว่าบังคับใช้มากกว่าและความหมายก็ยากที่จะเข้าใจ
2.4 วาจก (voice) เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งชี้ความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับการกระทำที่แสดงโดยคำกริยา
ว่าประธานเป็นผู้กระทำ(กรรตุวาจก)หรือประธานเป็นผู้ถูกกระทำ(กรรมวาจก)ในการแปลระหว่างภาษาอังกฤษกับไทยประโยคกรรมในภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องเท่ากับประโยคกรรมในภาษาไทยเสมอไป
2.5 กริยาแท้กับกริยาไม่แท้ (finite vs.
non-finite) คำกริยาในภาษาอังกฤษต่างจากภาษาไทยมากในเรื่องการแยกกริยาแท้ออกจากกริยาไม่แท้กล่าวคือในหนึ่งประโยคเดี่ยวจะมีกริยาแท้ได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น
ในการแปลจากอังกฤษเป็นไทยผู้แปลอาจจำเป็นต้องขึ้นประโยคใหม่
นั่นหมายความว่าทำกริยาไม่แท้ให้เป็นกริยาแท้ของประโยคใหม่
3. ชนิดของคำประเภทอื่นๆ
ชนิดของคำประเภทอื่นๆนอกจากคำนามกับคำกริยามีความซับซ้อนน้อยกว่านามและกริยานั่นก็คือ
คำบุพบท (preposition)
ในการแปลทุกครั้งผู้แปลต้องหมั่นสังเกตบุพบทที่ใช้ต่างกันในสองภาษาและนอกจากนั้นคำบุพบทในภาษาอังกฤษสามารถห้อยท้ายวลีหรือประโยคได้ที่กล่าวมาแล้วแสดงให้เห็นว่าภาษาอังกฤษและภาษาไทยมีความแตกต่างกันเรื่องชนิดของคำและไวยากรณ์ที่สำคัญหลายประการถ้าผู้แปลเข้าใจการแปลก็จะง่ายยิ่งขึ้น
2.หน่วยสร้างที่ต่างกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
หน่วยสร้าง
(construct) หมายถึงหน่วยทางภาษาที่มีโครงสร้างเช่น
หน่วยสร้างนามวลี หน่วยสร้างกรรมวาจก หน่วยสร้างคุณานุประโยคเป็นต้น
1.หน่วยสร้างนามวลี :ตัวกำหนด (Determiner)+ นาม (อังกฤษ) vs. นาม
(ไทย)นามวลีในภาษาอังกฤษต้องมีตัวกำหนด (Determiner)
อยู่หน้านามเสมอถ้าคำนามนั้นเป็นนามนับได้และเป็นเอกพจน์
2. หน่วยสร้างนามวลี :ส่วนขยาย +
ส่วนหลัก(อังกฤษ)vsส่วนหลัก+ส่วนขยาย(ไทย)ในหน่วยสร้างนามวลี
ภาษาอังกฤษวางส่วนขยายไว้ข้างหน้าส่วนหลัก ส่วนภาษาไทยตรงกันข้าม
3. หน่วยสร้างกรรมวาจก (passive constructions)
ในภาษาอังกฤษหน่วยสร้างกรรมวาจกมีรูปแบบเด่นชัด และมีแบบเดียว
คือประธาน/ผู้รับการกระทำ + กริยา Verb to be + past
participle + (by +นามวลี/ผู้กระทำ)
4. หน่วยสร้างประโยคเน้น subject (อังกฤษ)กับประโยคเน้นtopic
(ไทย) ภาษาไทยจะเน้นtopic ซึ่งตรงกันข้ามกับภาษาอังกฤษจะเน้น
subject
5.
หน่วยสร้างกริยาเรียงในภาษาไทย (serial verb construction)
เป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยกริยาตั้งแต่สองคำขึ้นไปเรียงต่อกันโดยไม่มีอะไรคั่นกลางยกเว้นกรรมของกริยาที่มาข้างหน้า
เช่น เดิน – ไป – ดูหนัง
เมื่อแปลประโยคนี้เป็นภาษาอังกฤษจะสังเกตได้ว่าโครงสร้างจะเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่กริยาเรียง
3.สรุป
1. เรื่องชนิดของคำ
ภาษาไทยมีชนิดของคำทุกประเภทเหมือนภาษาอังกฤษยกเว้นคุณศัพท์
และมีชนิดที่ไม่มีในภาษาอังกฤษได้แก ลักษณนาม และ คำลงท้าย
2. เรื่องประเภททางไวยากรณ์ สำหรับคำนาม
ภาษาไทยไม่มีการบ่งชี้ บุรุษ พจน์ การก นับได้-นับไม่ได้ ชี้เฉพาะ แต่ภาษาอังกฤษมีการบ่งชี้ที่ชัดเจน
และสำหรับคำกริยา ภาษาไทยไม่มีการบ่งชี้ กาล มาลา วาจก กริยาแท้-ไม่แท้
แต่ภาษาอังกฤษมีการบ่งชี้ชัดเจน
3. เรื่องหน่วยสร้างหรือรูปประโยค
นามวลีในภาษาอังกฤษมีตัวกำหนดแบบบังคับแต่ในภาษาไทยมีหรือไม่มีก็ได้
การวางส่วนขยายในนามวลี
มีความแตกต่างอย่างตรงกันข้ามระหว่างไทยกับภาษาอังกฤษ
หน่วยสร้างกรรมวาจกภาษาอังกฤษมีรูปแบบชัดเจนแต่ในภาษาไทยมีหลายรูปแบบ
ประโยคเน้นประธานกับประโยคเน้นเรื่อง
ในภาษาอังกฤษต้องมีประธานเสมอ แต่ประโยคในภาษาไทยไม่จำเป็นต้องมีประธาน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น