วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning log (If-Clause) Seventh : (22nd September, 2015)

Learning  Log
22nd September ,2015
If Clauses
                ปัจจุบันภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก เพราะองค์ความรู้และข่าวสารที่สำคัญๆมากกว่า 80% ในโลกนี้รายงานหรือบันทึกไว้เป็นภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนรุ่นใหม่ และอนาคตของประเทศ ไม่เฉพาะแต่ประเทศไทย แต่ทุกๆประเทศ เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารอย่างเป็นทางการของชาวโลก การเรียนรู้ภาษาอังกฤษทั้ง4ทักษะจึงมีความจำเป็นเป็นอย่างมาก และนอกจากจะจะมีการ ฟัง พูด อ่านได้แล้ว ทักษะการเขียนก็มีความสำคัญเพราะเป็นช่องทางการสื่อสารด้วยดังนั้นในงานชิ้นนี้ดิฉันจึงได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง If Clauses หรือ Conditional Sentences และในเรื่อง If Clauses นี้นอกจากจะต้องเขียนรูปประโยคให้ถูกแล้ว การอ่านแล้วแปลให้เข้าใจตามโครงสร้างก็ถือเป็นประเด็นสำคัญดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างสูงที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจ
                Clause หรือ อนุประโยคต่างๆหมายถึง กลุ่มคำที่ประกอบด้วยประธาน และกริยามีอนุประโยคอยู่ 2ประเภท คือ
1. Independent clause คือ ประโยคอิสระมีความหมายและมีความสมบูรณ์ในตัวมันเอง
2. Dependent clause คือ ประโยคที่ไม่อิสระไม่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวมันเอง
                Independent clause ประกอบขึ้นด้วยประธานและกริยาอย่างละตัว รวมทั้งยังต้องสื่อถึงถึงความคิดที่สมบูรณ์ซึ่งถือว่าเป็นประโยคได้ เช่น Simple sentence ประโยคประเภทนี้เรียกได้ว่าเป็น Independent clause
                เช่น We checked our products yesterday.
                เมื่อวานนี้พวกเราได้ตรวจสอบสินค้าบริษัท
                สำหรับ Dependent clause ถือเป็นส่วนหนึ่งของประโยคเท่านั้น
                เช่น…. After we cleaned up our office…
                ...ภายหลังจากที่พวกเราได้ทำความสะอาดสำนักงาน...
                จากตัวอย่างของ Dependent clause แสดงให้เห็นว่า Dependent clauseยังไม่สื่อถึงความคิดที่สมบูรณ์จึงไม่ถือว่าเป็นประโยค โดยปกติ Dependent clause จะนำหน้าด้วยคำเชื่อม Conjunctions ที่เรียกว่า Subordinating Conjunctions
                  Subordinating Conjunctions มีอยู่หลายตัวด้วยกัน บางคำใช้นำหน้าเหตุผล (Reasons) บางคำใช้นำหน้าเวลา (Time) บางคำใช้ในความหมายเชิงขัดแย้ง(Contrast) และบางคำใช้แสดงเงื่อนไข (Condition) ตัวอย่างในตารางต่อไปนี้
If Clauses หรือ Conditional Sentences
                If Clauses หรือ Conditional Sentencesคือ ประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข (conditions) หรือการสมมุติซึ่งประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยครวมกัน และเชื่อมด้วย conjunction "if"ประโยคที่นำหน้าด้วย if แสดงเงื่อนไข เราเรียกว่า if-clauseและประโยคที่แสดงผลเงื่อนไขนั้น เราเรียกว่า main clause
If it rains , I shall stay at home.
(If-clause) (main clause)
Conditional Sentences แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1. TYPE ONE เป็นการสมมติถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันหรืออนาคต แสดงเงื่อนไขที่น่าจะเป็นไปได้ (possible condition)
•              If he goes to London , he will meet his old friend.
2. TYPE TWO เป็นการสมมติในปัจจุบันที่บอกความสงสัย (doubt) แสดงเงื่อนไขที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ (impossible condition)
•              If I were you , I would go to study abroad.
3. TYPE THREE เป็นการสมมติในอดีต แสดงเงื่อนไขที่ไม่อาจเป็นไปได้เลย และตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในอดีต
•              If I had known your arrival , I would have met you at the airport.
•              If you had gone to party last night , you would have seen your girlfriend.
หมายเหตุ :Conditional Sentences จะขึ้นต้นด้วยประโยค If-Clause หรือ Main Clause ก็ได้ เช่น
•              If I had some money , I would go abroad.หรือ
•              I would go abroad if I had some money.
โครงสร้างและหลักการใช้ If Clauses
แบบที่ 1  If + Present Simple, Will + V1
วิธีใช้ ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน เช่น
•              If I have enough money, I will go to Japan. (ถ้าฉันมีเงิน ฉันจะไปญี่ปุ่น)
•              If he is late, we will have to the meeting without him. (ถ้าเขามาสาย เราจะต้องเริ่มการประชุมโดยไม่มี                                   เขา)
•              I won’t go outside if the weather is cold. (ฉันจะไม่ออกไปข้างนอกถ้าอากาศมันเย็น)
•              If I have time, I will help you. (ถ้าฉันมีเวลา ฉันจะช่วยคุณ)
•              If you eat too much, you will get fat (ถ้าคุณกินมากเกินไป คุณก็จะอ้วน)

แบบที่ 2 If + Past Simple, would + V1 (would แปลว่า น่าจะ) (Past Simple à V2)
วิธีใช้ ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในปัจจุบัน หรือ อนาคต เช่น
•              If I knew her name, I would tell you. (ถ้าฉันรู้ชื่อเธอ ฉันก็น่าจะบอกคุณ) [จริงๆ แล้วไม่รู้จักชื่อเธอ]
•              She would be safer if she had a car. (เธอน่าจะปลอดภัยกว่านี้ ถ้าเธอมีรถ) [จริงๆ แล้วเธอไม่มีรถ]
•              It would be nice if you helped me do the housework. [มันน่าจะดีถ้าคุณได้ช่วยฉันทำงานบ้านบ้าง] [จริงๆ แล้วเธอไม่ช่วยเลย]
•              If I were you, I would call her. (ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันน่าจะโทรหาเธอ) [จริงๆ แล้ว ฉันไม่ได้เป็นคุณ]
•              If I were you, I would not say that. (ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันก็ไม่น่าจะพูดเช่นนั้น) [จริงๆ แล้ว ฉันไม่ได้เป็นคุณ]
แบบที่ 3 If + Past perfect, would have + V3 (Past perfect -> Had + V3)
วิธีใช้ ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในอดีต เช่น
•              If you had worked harder, you would have passed your exam. (ถ้าคุณขยันให้มากกว่านี้ คุณก็น่าจะสอบผ่าน) [จริงๆ แล้วสอบตกไปแล้ว]
•              If you had asked me, I would have told you. (ถ้าคุณถามฉัน ฉันก็น่าจะบอกคุณไปแล้ว) [จริงๆ แล้วคุณไม่ได้ถาม]
•              I would have been in big trouble if you had not helped me. (ฉันน่าจะมีปัญหาไปแล้ว ถ้าคุณไม่ได้ช่วยฉันไว้) [จริงๆ แล้วคุณช่วยฉันไว้]
•              If I had met you before, we would have been together. (ถ้าฉันพบคุณก่อนหน้านี้ เราก็น่าจะได้อยู่ด้วยกันไปแล้ว) [จริงๆ แล้วฉันพบคุณช้าไป]
IF-CLAUSE — TYPE ONE
A. If + Present Simple , + Present Simple
ใช้กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ (natural laws) ทางด้านวิทยาศาสตร์
หรือการกระทำที่เป็นนิสัยของแต่ละบุคคล (habitual actions) เช่น
•              If water is heated , it boils.
•              If ice is heated , it melts.
•              If a metal is heated , it expands.
•              If it is fine , Jim usually walks to school.
•              If you hurt dogs , they bite you..
•              If students don’t study , they usually(sometimes, often, generally) fail.
ข้อความเหล่านี้ จะเป็นข้อความทั่วๆ ไป (general statements) ซึ่งเป็นความจริงเสมอ และเมื่อเหตุการณ์แรกเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่สองจะเกิดขึ้นเสมอ
ประโยคเงื่อนไขดังกล่าวนี้ เราสามารถใช้ when/whenever แทน if ได้ ซึ่งมีความหมายเหมือนกันทั้ง 2 คำ เช่น
•              Whenever/When / If people are tired , they generally go to bed.
•              Plants grow quickly when/whenever/if you water them.
•              I sing if I am happy.
•              If a woman has a children , she must look after them.
•              I cannot understand you if you speak Chinese.
•              If you have a cold , it is wise to go to bed.
•              If you throw a stone into water , it sinks.

A. If + Present Simple , Imperative
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้าเหตุการณ์แรกเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่สองจะเกิดขึ้นตามมาด้วย
•              If you see him , tell him to phone me.
•              Don’t go outside the harbour if the wind is very strong
•              B. If + Present Simple , Future
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและเฉพาะกรณี (specific statement) ซึ่งเหตุการณ์ที่สองจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเหตุการณ์แรก
•              If George goes , he will get the medicine for you.
•              If he comes , I will speak to him.
การใช้ Conditional Sentences Type One อื่นๆ
1. if………not = unless (ถ้าไม่) ในประโยคปฏิเสธ เรามักใช้ unless แทน มีรูปดังนี้
Unless + Present Simple , S + will/shall + V1
•              If there is no rain , the flowers will die.= Unless there is some rain , the flowers will die.
•              Peter will miss the bus if he doesn’t run.= Peter will miss the bus unless he runs.
•              He doesn’t walk to school if it isn’t fine.= He doesn’t walk to school unless it is fine.
•              I won’t come if he doesn’t call me.= I won’t come unless he calls me.
**ข้อควรจำ unless นั้นมีความหมายเป็นปฏิเสธ มาจาก if……not เพราะฉะนั้นในประโยค if-clause เมื่อใช้
unless แล้วกริยาในประโยคนั้นจะต้องเป็นรูปบอกเล่าเสมอ

2. even if ซึ่งมีความหมายว่า ถ้าแม้ว่านั้นใช้เน้น if หมายความว่า ถ้าเผื่อว่าในประโยค if-clause ได้
•              Even if you give me 10,000 baht , I won’t tell you.
•              Even if they hurt me , I won’t help them.
•              He never hurries even if he is very late.
•              She never shouts even if she gets angry.

3. ใช้ if + Present Simple และใน main clause ใช้กับกริยาช่วยอื่นๆ คือ may,must ,needn’t, ought to, should, can , be able to ได้ จะมีความหมาย ดังนี้
a) may แสดงความหมายแสดงผลของเงื่อนไขที่เป็นลักษณะที่น่าจะเป็นเป็นไปได้ (possible result)
(ปกติเราใช้ will /shall จะแสดงเงื่อนไขที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน (certain result) เช่น
•              If he starts now , he will be in time. (certain result) แสดงผลของเงื่อนไขที่จะเกิดขึ้นแน่นอน
•              If he starts now , he may be in time. (possible result) แสดงผลของเงื่อนไที่น่าจะเป็นไปได้
b) must , ought to , should ให้ความหมายว่า ต้อง , ควรจะ
•              If you go out tonight , you must put a coat on. ถ้าเธอออกไปข้างนอกคืนนี้ เธอต้องสวมเสื้อโค้ช
•              If you go out tonight , you ought to (should) put a coat
c) ใช้ may , can ให้ความหมายเป็นการบอกอนุญาตให้ และการให้อนุญาต
•              If you are in a hurry , you can (may) take my car. (=permission)
•              If you go out tonight , you may (can) wear my coat. (=permission)
d) ใช้ needn’t = ไม่จำเป็นต้อง
•              If you go out tonight , you needn’t wear a coat.
e) เมื่อ can มีความหมายว่า ความสามารถ (ability) เราจะใช้ will be able to เช่น
•              If you study hard, you’ll be able to speak English very well soon.
4. if + will ใช้เมื่อแสดงการแนะนำหรือขอร้องอย่างสุภาพ
•              If you’ll excuse my asking , how old are you?
•              If you’ll forgive my saying so, you are getting fat.
•              If he will cook dinner , I’ll wash the dishes.

5. if + should ใช้เมื่อสิ่งสมมุตินั้นมีโอกาสเป็นจริงได้น้อยในอนาคต หรือผู้พูดไม่ค่อยแน่ใจ
ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ จงเปรียบเทียบ 2 ประโยคนี้
•              If you change your mind , I’ll gladly exchange it for you.
(= I don’t know whether you will or not = ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่)
•              If you should change your mind , I’ll gladly exchange it for you.
(= It seems unlikely that you will change your mind = ไม่มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนใจ)
6. if + would like (would care) = wish / want (ใช้กับ if cluase type one เท่านั้น
•              If you would like to come , I’ll get a ticket for you.
•              If you would care to see some of our designs, I’ll show them on Monday.
Conditional Sentences “Without If”
การละรูป if ใน Type One สามารถทำได้ โดยใช้ should แทน if
a) If you see Katty , tell her I want her.
•              Should you see Katty , tell her I want her.
b) If the weather is too bad, we won’t go for a picnic.
•              Should the weather be too bad , we won’t go for a picnic. (หลัง should ตามด้วย V1)
c) If you should find it , please send it to me.
•              Should you find it , please send it to me.
(ประโยคที่ใช้ if และ should ดังกล่าวนี้มีความหมายเหมือนกัน แต่ประโยคที่ใช้ should นิยมใช้ในภาษาเขียน)
If-clause Type2
โครงสร้าง
If + Past Simple , S + would + V1
1. If + S +were + to+V1 , S+would + V1
2. Unless + Past Simple , S + would + V1
a)ผู้พูดแสดงความสงสัยว่าเหตุการณ์ที่สมมติจะไม่เกิดขึ้นเพราะฉะนั้นผลของการสมมติจะไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
•              If I had money , I would go abroad.(=I don’t have money right now.)
•              What would you do if you came top in the exam?(= I have a lot of doubt.)
•              John is very lazy. If he didn’t study hard , he wouldn’t pass his exam.
                (=John is very lazy, he isn’t likely to study hard.)
b) เมื่อพูดถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือจินตนาการ (Impossible and imaginary)
•              What would you do if you saw a ghost?
•              If today were Sunday , I would be at home. (but today isn’t Sunday.) (= Were today Sunday I would be at home.)
การละรูป if จะใช้กับกริยา were
•              If I were you , I would go to study abroad.(=Were I you , I would go to study abroad.)
•              If I were a bird , I would fly all over the world.(= Were I a bird , I would fly all over the world.)
หมายเหตุ เราใช้ were กับประธานที่เป็นทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น if I were , if he were , if she were ,
if they were , เป็นต้นเพราะเป็นการสมมติจากจินตนาการ แต่ถ้าใช้ was กับประธานเอกพจน์ก็ได้ เช่นกันเ ช่น If I was, ect….
นอกจาก would ที่ใช้ใน main clause แล้ว ยังมีกริยาช่วย should , might , could ที่สามารถใช้ใน conditional Type Two นี้ได้อีก แต่ความหมายแตกต่างกันออกไป
•              If she came , I should/would see her. (แสดงผลที่จะเกิดขึ้นตามสมมติ certain result)
•              If she came , I might see her. (แสดงการคาดคะเน possibility)
•              If it stopped snowing , he would go out. (certain result)
•              If it stopped snowing , you could go out. (permission , ability)
การใช้ Conditional Sentences Type Two อื่นๆ
เราใช้ were to + V1 แทน Past Simple ใน if-clause เพื่อเน้นถึงการสมมติที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
•              If I passed the exam , he would be astonished.
•              If I were to pass the exam , he would be astonished.(ในประโยคทั้งสองข้างต้นนี้ มีความหมายเหมือนกันแต่ประโยคที่ใช้ were to นั้น ผู้พูดมิได้หวังว่าจะสอบผ่าน)
•              If he went , he would tell you first.If he were to to go , he would tell you first.(were to goกล่าวถึงแผนการและการเสนอแนะ)

•              She wouldn’t cry like that if she weren’t ill.= She wouldn’t cry like that unless she were ill.
•              I wouldn’t eat them if I didn’t like them.= I wouldn’t like them unless I liked them.

a) เมื่อแสดงความรำคาญในกรณีที่ถูกรบกวน
•              If you would stop singing , I would be able to study.
b) ใช้ในจดหมายราชการ หรือจดหมายธุรกิจ- I would be very grateful if you would pay your bill.
•              We should appreciate it if you would fill in this form.
IF-CLAUSE TYPE THREE
If + Past Perfect , S + would + have + V3
If + Past Perfect , S+would + V1 NOW ใช้กับเหตุการณ์สมมุติที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงในอดีต ความเป็นจริงในอดีต :
•              You didn’t go to the party last night.
•              You didn’t meet your girlfriend.
สิ่งสมมุติ : If you had gone to the party last night , you would have met your girlfriend.
( = Had you gone to the party last night, you would have met your girlfriend.)
(การละรูป if)ความเป็นจริงในอดีต : I didn’t pass the exam last semester. I didn’t study hard.
สิ่งสมมุติ : I would have passed the exam last smester if I had studied hard.
(= Had I studied hard , I would have passed the exam last semester.)
ความเป็นจริงในอดีต : My wife was so angry with me. I forgot that yesterday was her birthday.
สิ่งสมมุติ : My wife wouldn’t have been so angry with me if I hadn’t forgotten that yesterday was her birthday.
(=Had I not forgotten that yesterday was my wife’s birthday, she wouldn’t have been so angry with me.)
ความเป็นจริงในอดีต : I had an accident last year . I drove the car very fast.
สิ่งสมมุติ : I wouldn’t have had an accident last year if I hadn’t driven the car very fast.
(= Had I not driven the car so fast, I wouldn’t have had an accident last year.)

****หมายเหตุ ****การสมมุติเหตุการณ์อาจเป็นการผสมผสานกันของเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันก็ได้ ซึ่งเราจะเรียกว่าเป็นแบบผสม (Mixed Type) กล่าวคือ การสมมุติเหตุการณ์ที่ตรงกันข้ามกับความจริงในอดีต ใช้ Typethree และการสมมุติเหตุการณ์ที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงในปัจจุบันใช้ Type Two
สังเกตุโครงสร้างแบบนี้นั่นคือ ประโยค if-clause เป็นเหตุการณ์สมมติในอดีต และ main clause เป็นเหตุการณ์สมมุติในปัจจุบันดูตัวอย่างต่อไปนี้
Mixed Type
•              If I had checked the oil in my car carefully yesterday , I wouldn’t be in trouble now.
(ถ้าฉันตรวจดูน้ำมันในรถอย่างรอบคอบเมื่อวานนี้ ฉันคงจะไม่ตกอยู่ในความลำบากขณะนี้ )
(นั่นคือ ความเป็นจริงในอดีตคือ I didn’t check the oil in my car yesterday และความจริงในปัจจุบันคือ I am in trouble now.)
•              If I hadn’t gone to bed so late last night, I wouldn’t be tired today.
(ถ้าฉันไม่ได้เข้านอนดึกมากเมื่อคืนนี้ วันนี้ฉันก็คงจะไม่เหนื่อยแบบนี้)
(นั่นคือ ความเป็นจริงในอดีต คือ I went to bed so late last night.ความจริงในปัจจุบันคือ I am tired today.)
•              If it had rained so much last year, my crops would be better now.
(ถ้าฝนตกมากเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้พืชผลของฉันคงจะดีกว่านี้) (นั่นคือ ความเป็นจริงในอดีตคือ It didn’t rain so much.ความจริงในปัจจุบัน คือ my crops are not good now .)
                วิธีการจำว่า If-clause แต่ละแบบใช้ tense อะไรให้เรานึกถึงหลักความเป็นจริงคือ แบบที่ 1 เป็นไปได้ในปัจจุบัน ใช้ present simple ธรรมดา  แต่แบบที่ 2 และ 3 เป็นเรื่องสมมติขึ้นมา ฉะนั้นเราจะถอย tense ไปหนึ่ง tense เพื่อแสดงว่ามันคือการสมมติ คือ  แบบที่ 2 เป็นไปไม่ได้ในปัจจุบัน  จาก present เราเปลี่ยนเป็น past simple  และ แบบที่ 3  เป็นไปไม่ได้ในอดีต  จากคำว่า อดีตมันควรจะเป็น past simple เราก็ถอยไปเป็น past perfect ดังนั้นนอกจากจะให้ทั้งโครงสร้างหลักการใช้ไปแล้วยังมีเทคนิคการจำเล็กน้อยจึงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่ยังต้องการฝึกและพัฒนาการใช้ภาษาอังกฤษหลังจากได้ทำการศึกษาเรื่อง if clauseสำหรับ ดิฉันดิฉันคิดมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้นและควรจะมีการเรียนรู้และฝึกฝนศึกษากันอีกต่อไป

การพัฒนาทักษะการฟัง
                ภาษาอังกฤษเข้ามา มีบทบาทในชีวิตของคนไทย และคนทั่วโลกไปแล้ว ส่วนใหญ่ประชากรในโลกทุกวันนี้สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารกันโดยตรง การใช้อินเตอร์เน็ต การดูทีวี การดูภาพยนตร์ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หนังสือต่างๆ บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาออกมาในปัจจุบัน ถ้ามีความรู้ภาษาอังกฤษทั้งพูดและเขียน จะเพิ่มโอกาสที่จะหางานก็จะไม่จำกัดแค่ในประเทศไทย เท่านั้น ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ด้วยเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ทำให้โลกของเราแคบลงไปถนัดตา ทุกวันนี้เรารับรู้ข่าวสาร หรือติดต่อกับเพื่อนต่างชาติได้ภายในเสี้ยววินาที เราจะไม่เข้าถึงสิทธิพิเศษเหล่านี้เลย ถ้าเราไม่รู้ภาษาอังกฤษ การรู้ภาษาอังกฤษนั้นจะประกอบไปด้วยหลายทักษะนั่นก็คือ ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน ซึ่งทั้ง4ทักษะเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญเท่าๆกันไม่มีสิ่งใดน้อยกว่าหรือสิ่งใดมากกว่า ซึ่งในสัปดาห์นี้ดิฉันจึงเลือกพัฒนาทักษะการฟังอีกครั้ง เพราะการฟังเป็นสิ่งที่เราต้องไว้ใช้สื่อสารจึงควรมีการพัฒนาและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
                วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558ดิฉันได้เริ่มฝึกทักษะการฟัง โดยในวันนี้ดิฉันได้เลือกการฟังเพลงภาษาอังกฤษจากเว็บไซต์ www.youtube.com  ซึ่งในวันนี้ดิฉันได้เลือกฟังเพลง If You Come Backซึ่งเป็นผลงานเพลงของนักร้องที่มีชื่อว่า Blueซึ่งเพลงนี้มันเป็นเพลงที่เหมาะแก่การฝึกทักษะเป็นอย่างมากเพราะว่าเพลงเพลงนี้ทำนองและการร้องเพลงจะไม่เร็วมากและไม่ช้าจนเกินไป ฟังง่ายและเวลาของเพลงนี้ก็ไม่เยอะจนเกินไป ซึ่งเพลงเพลงนี้มีความยาว 3.28นาที ซึ่งถือว่าไม่เยอะเพลงนี้มีความไพเราะโดยฟังในรอบแรกดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นเพลงที่เนื้อหาฟังง่าย โดยฟังในรอบนี้ดิฉันฟังแบบไม่มีเนื้อเพลง และลองจดเนื้อเพลงตามไปด้วยเป็นเพลงช้าจึงทำให้จดทัน โดยในเพลงนี้เป็นเพลงที่มีการลิงค์คำเชื่อมประโยคมากและดิฉันก็ฟังออกบ้าง และเมื่อฟังเสร็จดิฉันจึงเปิดอีกครั้งแต่เปิดในครั้งนี้เปิดในรูปแบบที่มีเนื้อเพลงแล้วนำมาเปรียบเทียบกับเนื้อเพลงที่จดไว้กับเนื้อเพลงจริงปรากฏว่าเป็นไปดังคาด ดิฉันฟังออกและจดทันและมีก็ยังมีบ้างคำที่ฟังไม่ออกและคำที่ผิดพลาดถือว่ามีหลายคำอยู่ ซึ่งเพลงๆนี้หลังจากฟังเสร็จแล้วฉันนำไปแปลและลองเรียบเรียงเนื้อหาได้ความว่าเพลงนี้จะเกี่ยวกับคนรักคู่หนึ่งที่รักกันแต่มีการผิดใจกันทำให้ฝ่ายหญิงทิ้งไปแต่ฝ่ายชายเพียรพยายามที่จะตามหาและอ้อนวอนให้คนรักกลับมาซึ่งเมื่อดิฉันได้แปลและเรียบเรียงเสร็จแล้วดิฉันก็ได้เปิดฟังอีกหลายๆครั้งและได้ร้องตามด้วย เพราะได้ฝึกทักษะการออกเสียงด้วยทั้งเสียง initial sound , final sound และการ stress คำให้ถูก
พยางค์ หลังจากได้ฟังเพลงนี้ได้ถอดความ และได้ร้องตามทำให้ฉันได้ฝึกหลายทักษะในเวลาเดียวกัน         
                วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558ดิฉันได้เริ่มฝึกทักษะการฟัง โดยในวันนี้ดิฉันได้เลือกการฟังเพภาษาอังกฤษจากเว็บไซต์ www.youtube.com  ซึ่งในวันนี้ดิฉันได้เลือกฟังเพลงI believe I can flyซึ่งเป็นผลงานเพลงของนักร้องที่มีชื่อว่า R. Kelly ซึ่งเพลงนี้มีทำนองมีจังหวะที่ฟังง่าย เป็นเพลงที่ช้าๆฟังแล้วซึ้ง เพลงนี้จัดว่าเป็นเพลงที่นานเพราะว่าเพลงนี้มีความยาวถึง 5.22นาที เพลงนี้มีความไพเราะโดยในเพลงนี้จะมีการการลิงค์คำเชื่อมประโยคไม่มากซึ่งดิฉันคิดว่าดิฉันฟังออกอยู่บ้าง โดยที่ดิฉันได้เลือกฟังเพลงนี้เพราะตอนแรกดิฉันได้อ่านแค่ชื่อเพลง ชื่อเพลงยังบ่งบอกถึงความสนุกความไพเราะดิฉันคิดว่าถ้าได้ฟังคงผ่อนคลาย เพราะชื่อเพลงยังแปลได้ว่าฉันเชื่อว่าฉันสามารถโบยบินชื่อเพลงยังดูสนุก หลังจากนั้นดิฉันได้ฟังในรอบแรกโดยไม่เปิดเนื้อเพลงแล้วลองจดเนื้อเพลงตาม อาจจะเป็นเพราะเพลงช้าด้วยดิฉันจึงฟังและจดทันตามทันถึงแม้บางคำจะจดผิดเพี้ยนไปบ้าง เมื่อฟังรอบนี้เสร็จดิฉันจึงเปิดอีกครั้งแต่เปิดในรูปแบบมีเนื้อร้องพบว่าดิฉันจดตามได้ถูกเกือบหมด และคำที่ดิฉันฟังไม่ออกแล้วดิฉันคิดว่าดิฉันฟังผิดเพี้ยนก็เป็นไปดังคาดคือดิฉันฟังได้ผิดมากและไม่ได้ใกล้เคียงเลย เมื่อดิฉันฟังเสร็จและตรวจทานเนื้อเพลงเสร็จดิฉันก็ได้ลองแปลและเรียบเรียงเนื้อเพลงจากที่ดิฉันจดไว้และเรื่องที่ดิฉันเรียบเรียงและแปลได้มีดังนี้คือ เนื้อเพลงจะเป็นประมาณว่าบุคคลในเพลงคิดว่าเขาไม่สามารถก้าวต่อไปได้ เขาคิดว่าชีวิตเขาไม่มีความหมายแต่เมื่อได้พบกับพระเจ้าทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป และจากที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ถ้าได้ลองทำมันจริงมันก็จะทำได้ เหมือนดั่งชื่อเพลงที่ว่าเขาสามารถบินได้ เขาสามารถไปแตะที่ขอบฟ้าได้ เขาบอกว่าเขาสามารถทำทุกอย่างได้ทุกอย่างมันอยู่ที่ความเชื่อ และเมื่อดิฉันแปลเสร็จดิฉันจึงเปิดซ้ำๆหลายรอบ เพราะเพลงนี้เป็นเพลงคลาสสิกที่สามารถฟังได้ทุกยุคทุกสมัยได้ทั้งการฝึกและได้ทั้งความผ่อนคลาย
วันที่ 26กันยายน พ.ศ. 2558ดิฉันได้เริ่มฝึกทักษะการฟัง โดยในวันนี้ดิฉันได้เลือกการฟังเพภาษาอังกฤษจากเว็บไซต์ www.youtube.com  ซึ่งในวันนี้ดิฉันได้เลือกฟังเพลง Because of You ซึ่งเป็นผลงานเพลงของนักร้องที่มีชื่อว่า Kelly Clarkson เพลงนี้เป็นเพลงที่ค่อนข้างฟังง่าย เพราะดนตรีและจังหวะของเพลงเป็นเพลงช้าๆฟังแล้วเพลิดเพลินลื่นหูมาก ตอนแรกที่ดิฉันเห็นเพียงแค่ชื่อเพลงของเพลงนี้ดิฉันคิดว่าเพลงนี้คงเป็นเพลงที่เกี่ยวกับความรักเลยกดลองฟังเข้าไปดู แต่เมื่อได้กดเข้าไปกลับผิดคาดเพราะว่าดิฉันเปิดฟังครั้งแรกโดยเปิดในรูปแบบที่มีเป็นMV เลยคิดแบบคร่าวๆว่าน่าจะเกี่ยวกับครอบครัวเลยไม่เกี่ยวไรกับความรักแน่นอนหลังจากนั้นดิฉันก็เปิดฟังอีกครั้งโดยในรอบนี้ดิฉันลองจดเนื้อเพลงตามไปด้วยแต่ว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่มีการใส่อารมณ์เพลง บางท่อนบางจังหวะก็เร็ว มีการรวบคำ บางคำดิฉันก็ฟังไม่ออก เลยฟังซ้ำอยู่3รอบกว่าจะจดเนื้อเพลงได้ทุกท่อนเมื่อดิฉันฟังและถอดเนื้อเพลงเสร็จแล้วดิฉันไปเปิดในรูปแบบมีเนื้อเพลงแล้วก็ตรวจตามเนื้อของตัวเองกลับพบว่าถึงแม้ว่าจะฟังหลายรอบวนไปมาก็ยังมีผิดพลาด อาจจะเป็นเพราะว่าบางท่อนมีอารมณ์ของนักร้อง ทำให้ฟังไม่ทันมีการรวบคำมากฟังไม่ค่อยออก และดิฉันได้นำเนื้อเพลงไปแปลและเรียบเรียงซึ่งเป็นไปตามMVคือน่าจะเกี่ยวกับครอบครัวที่แตกแยกมีปัญหากัน มีเสียงเด็กร้องและถ้ามองในภาพรวมคือทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเธอทั้งหมดฉันจะไม่ทำผิดซ้ำเหมือนที่เธอเคยทำฉันจะไม่ปล่อยให้ตัวเองทำเพราะหัวใจฉันมันทุกข์ทรมานเหลือเกินฉันจะไม่พังทลายเหมือนที่เธอเคยเป็นเธอล้มทั้งยืนฉันเรียนรู้วิธีที่จะไม่ให้มันเกินเลยไปขนาดนั้นคือทุกเรื่องที่เกิดมันมีสาเหตุมาจากเธอทั้งหมด เมื่อแปลและเรียบเรียงเสร็จแล้วดิฉันพบว่ามันมีทั้งความไพเราะและมันมีทั้งความน่าสงสาร ความเศร้านอกจากเราจะฟังได้ความผ่อนคลายแล้วเมื่อเราลองอินไปกับเพลงเราก็มีความเศร้าตามไปด้วย หลังจากนั้นดิฉันได้เปิดซ้ำๆอีกหลายรอบมากนอกจากได้ทั้งความเพลิดเพลินได้ความผ่อนคลายและได้พักผ่อนไปในตัวเรายังได้ฝึกทักษะอีกด้วย
จากการที่ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟัง โดยการฝึกจากการฟังบทสนทนาจากภาพยนตร์ ฟังเพลงทำให้ดิฉันพบว่า ทักษะการฟังของดิฉันก็มีการพัฒนาขึ้นมาบ้าง ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่การฟังเพลงแต่ว่าในแต่ละเพลงนั้นจะมีหลายรูปแบบที่ต่างกันเพราะในแต่ละเพลงมีจังหวะมีทำนอง มีดนตรีที่ต่างกัน มีลีลาการร้องการเปล่งเสียง การออกเสียงคำที่ต่างกันออกไป บางเพลงร้องช้ามีการรวบคำน้อยมากบางเพลงร้องเพลงก็เร็วจนเราฟังกันไม่ทัน ดังนั้นจึงจำเป็นมากที่จะต้องมีการฟังต่อไปเรื่อย นี่เราแค่ฟังจากเพลงหากเราเจอในสถานการณ์จริงซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วที่ชาวต่างชาติจะพูดเร็วทำให้การสื่อสารการสนทนาจึงเกิดความยุ่งยากและมีการติดขัดดังนั้นการพัฒนาทักษะการฟังจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ควรจะละเลย
การพัฒนาทักษะการอ่าน
                ภาษาอังกฤษนั้นจะต้องยอมรับว่าไม่ได้เป็นภาษาแม่ จึงมีความสำคัญและจำเป็นมากที่จะต้องมีการเรียนรู้พัฒนาฝึกฝนและปรับปรุง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เป็นภาษาแม่แต่เพราะภาษาอังกฤษนั้นมีความสำคัญและมีความจำเป็นเป็นอย่างสูง เพราะการใช้ภาษาอังกฤษนั้นจะต้องนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันทั้งในอนาคตอันใกล้นี้ หรือว่าจะเป็นตอนนี้เพราะว่าตอนนี้ภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทกับคนไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะทางด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม การท่องเที่ยว การศึกษาและอีกหลายๆอย่างดังนั้นการเรียนรู้การสื่อสารภาษาอังกฤษจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกันไว้ทุกคน และการสื่อสารภาษาอังกฤษจะประกอบไปด้วยทักษะหลายทักษะด้วยกันจึงจะประสบความสำเร็จในการสื่อสารซึ่งทักษะนั้นจะประกอบไปด้วย การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน สำหรับในรายสัปดาห์นี้ดิฉันเลือกฝึกและพัฒนาทักษะการอ่าน
                วันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2558 ดิฉันได้เริ่มฝึกทักษะการอ่าน โดยในวันนี้ดิฉันได้เลือกฝึกทักษะการอ่านโดยการอ่านบทความภาษาอังกฤษ ซึ่งมาจากเว็บไซต์  http://www.ddtranslation.com/eng-to-thai-1/  ซึ่งในเว็บไซต์นี้จะเป็นบทความภาษาอังกฤษซึ่งมีชื่อเรื่องว่า What is global warming? ,What is the greenhouse effect?  หรือมีชื่อเป็นภาษาไทยว่าภาวะโลกร้อนคืออะไร?และปรากฏการณ์เรือนกระจก คืออะไร? ที่ดิฉันเลือกอ่านเรื่องนี้เป็นเพราะว่าในตอนแรกที่ดิฉันได้เห็นเพียงแค่ชื่อเรื่องดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวเพราะเนื้อเรื่องเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนถือว่าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวที่ประชาชนกำลังเผชิญกับปัญหาอยู่ในขณะนี้หลังจากนั้นดิฉันได้ลองใช้ทักษะ skimming , scanning แล้วจึงพบว่าเนื้อหาไม่เยอะมากจนเกินไป โดยในตอนแรกดิฉันได้อ่านแบบรวดเร็วผ่านไปหนึ่งรอบและเมื่อเห็นคำศัพท์แปลกดิฉันได้ขีดเส้นใต้ไว้ เก็บไว้หาความหมายแล้วเมื่อดิฉันอ่านจบ ดิฉันก็ลองอ่านออกเสียงแบบช้าๆ เพราะจะได้เป็นการฝึกทักษะการพูด การออกเสียงด้วยว่าออกเสียงผิดหรือถูกตามหลัก phonetics หรือไม่และเมื่อได้อ่านออกเสียงผ่านไป รอบนี้ดิฉันได้อ่านในใจและแปลความหมายโดยแปลทั้งคำที่ใกล้เคียงและแปลด้วยการเปิดdictionary หลังจากแปลเสร็จดิฉันได้เรียบเรียงเนื้อหาซึ่งเนื้อเรื่องที่ดิฉันอ่านมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการอธิบายการเกิดปัญหาเรือนกระจก สาเหตุการเกิดภาวะโลกร้อนซึ่งมีหลายสาเหตุด้วยกันและยังทำให้รู้อีกว่าถึงแม้ว่าปรากฏการณ์เรือนกระจกจะช่วยให้มนุษย์ดำรงชีพอยู่บนโลกได้ แต่หากมีก๊าซมากจนเกินไป ก็จะทำให้โลกร้อนขึ้น พืช, สัตว์หลายชนิด และคนก็จะตาย ซึ่งอาจจะตายเนื่องจากการที่มีอาหารน้อยลง หลังจากดิฉันได้อ่านเรื่องนี้แล้วนอกจากเราจะได้ในด้านการพัฒนาทักษะแล้วเรายังได้ความรู้จากเนื้อเรื่องที่เราอ่านและได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย
                วันที่ 2ตุลาคม พ.ศ.2558 ดิฉันได้เริ่มฝึกทักษะการอ่าน โดยในวันนี้ดิฉันได้เลือกฝึกทักษะการอ่านโดยการอ่านบทความภาษาอังกฤษ ซึ่งมาจากเว็บไซต์ http://zmanow.blogspot.com/2014/09/coffee-is-generally-heart-friendly.html  ซึ่งในเว็บไซต์นี้จะเป็นบทความภาษาอังกฤษซึ่งมีชื่อเรื่องว่า Coffee Is Generally Heart-Friendlyหรือมีชื่อเป็นภาษาไทยว่า การดื่มกาแฟอาจเป็นผลดีต่อหัวใจดิฉันเลือกอ่านเรื่องนี้เป็นเพราะว่าในตอนแรกที่ดิฉันได้เห็นเพียงแค่ชื่อเรื่องดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวเพราะเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับสุขภาพดิฉันถือว่าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวที่บางครั้งเราก็จำเป็นต้องศึกษาไว้บ้างเพราะมันไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัว ดิฉันได้ลองใช้ทักษะ skimming , scanning แล้วจึงพบว่าเนื้อหาไม่เยอะมากจนเกินไป โดยในตอนแรกดิฉันได้อ่านแบบรวดเร็วผ่านไปหนึ่งรอบและเมื่อเห็นคำศัพท์แปลกดิฉันได้ขีดเส้นใต้ไว้ เก็บไว้หาความหมายแล้วเมื่อดิฉันอ่านจบ ดิฉันก็ลองอ่านออกเสียงแบบช้าๆ เพราะจะได้เป็นการฝึกทักษะการพูด การออกเสียงด้วยว่าออกเสียงผิดหรือถูกตามหลัก phonetics หรือไม่และเมื่อได้อ่านออกเสียงผ่านไป รอบนี้ดิฉันได้อ่านในใจและแปลความหมายโดยแปลทั้งคำที่ใกล้เคียงและแปลด้วยการเปิดdictionary หลังจากแปลเสร็จดิฉันได้เรียบเรียงเนื้อหาซึ่งเนื้อเรื่องที่ดิฉันอ่านมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ การดื่มกาแฟอาจเป็นผลดีต่อหัวใจแต่เสี่ยงที่จะเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขึ้นได้ในระยะยาวจากที่ดิฉันได้อ่านผลงานวิจัยจากการประชุมสมาคมโรคหัวใจอเมริกัน ที่นครซานฟรานซิสโกที่ผ่านมา นี้ระบุว่า การดื่มกาแฟวันละไม่กี่แก้วนั้น นอกจากจะไม่เพิ่มความเสี่ยงของอาการไขมันอุดตันเส้นเลือดแล้ว ยังอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ และโรคเบาหวาน แต่ในทางกลับกันคนชอบดื่มกาแฟก็มีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้มากกว่าคน ทั่วไปได้ด้วยเช่นกันหลังจากดิฉันได้อ่านเรื่องนี้แล้วนอกจากเราจะได้ความรู้ในด้านการพัฒนาทักษะแล้วเรายังได้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจากเนื้อเรื่องที่เราอ่านและได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย
 4 ตุลาคม พ.ศ.2558 ดิฉันได้เริ่มฝึกทักษะการอ่าน โดยในวันนี้ดิฉันได้เลือกฝึกทักษะการอ่านโดยการอ่านบทความภาษาอังกฤษ ซึ่งมาจากเว็บไซต์http://lasik-healthyforeyes.blogspot.com/2012/10/benefits-of-passion-fruit.html#.VgkrAvmqqko  ซึ่งในเว็บไซต์นี้จะเป็นบทความภาษาอังกฤษซึ่งมีชื่อเรื่องว่า Benefits Of Passion Fruitหรือมีชื่อเป็นภาษาไทยว่าเสาวรส ผลไม้เพื่อสุขภาพ ที่ดิฉันเลือกอ่านเรื่องนี้เพราะตอนแรกที่ดิฉันเห็นชื่อเรื่องดิฉันคิดว่ามันน่าสนใจมากเพราะมันเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพหลังจากนั้นดิฉันจึงได้อ่านทักษะ skimming , scanning แล้วจึงพบว่าเนื้อหาไม่เยอะมากจนเกินไป โดยในตอนแรกดิฉันได้อ่านแบบรวดเร็วผ่านไปหนึ่งรอบและเมื่อเห็นคำศัพท์แปลกดิฉันได้ขีดเส้นใต้ไว้ เก็บไว้หาความหมายแล้วเมื่อดิฉันอ่านจบ ดิฉันก็ลองอ่านออกเสียงแบบช้าๆ เพราะจะได้เป็นการฝึกทักษะการพูด การออกเสียงด้วยว่าออกเสียงผิดหรือถูกตามหลัก phonetics หรือไม่และเมื่อได้อ่านออกเสียงผ่านไป รอบนี้ดิฉันได้อ่านในใจและแปลความหมายโดยแปลทั้งคำที่ใกล้เคียงและแปลด้วยการเปิดdictionary หลังจากแปลเสร็จดิฉันได้เรียบเรียงเนื้อหาซึ่งเนื้อเรื่องที่ดิฉันอ่านมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ ประโยชน์ต่างๆของเสาวรส รูปร่างลักษณะต่างๆของเสารสได้รู้ว่าในเสารสมีวิตามินเอค่อนข้างสูง ช่วยบำรุงสายตาและยังได้รู้ถึงรสชาติของเสาวรส และอีกอย่างหนึ่งคือเสารสเป็นผลไม่ที่ไปรักษาไข้ได้ ถึงแม้ว่าเสาวรสจะไม่ใช่เป็นผลไม้ประจำบ้านเราแต่อย่างน้อยเราก็ได้รู้ไว้เป็นแนวทางเป็นประโยชน์ในอนาคตหลังจากดิฉันได้อ่านเรื่องนี้แล้วนอกจากเราจะได้ความรู้ในด้านการพัฒนาทักษะแล้วเรายังได้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจากเนื้อเรื่องที่เราอ่านและได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย
                ภาษาเป็นเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการสื่อสารรวมทั้งเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้และใช้ในการสื่อความหมายและความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในปัจจุบันภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีบทบาทอย่างกว้างขวางในการสื่อสารของสังคมโลกในด้านการสื่อสารนอกจากฟังและพูดได้แล้วการอ่านก็ถือว่าสำคัญ ถึงแม้ว่าเราจะอ่านออก แต่เราไม่เข้าใจบทที่อ่าน แปลความหรือถอดความไม่ได้ เราก็ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เพราะแค่อ่านได้ เราก็สื่อสารกันไม่ได้ การอ่านนั้นจึงมีความสำคัญไม่น้อยกว่าทักษะอื่นๆดังนั้นการอ่านจึงจำเป็นอย่างสูที่จะมีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

การแปล Template by Ipietoon Cute Blog Design and Homestay Bukit Gambang

Blogger Templates